วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ทุกอย่างต้องเป็นไป


     บางคนมองหาคนรอบข้าง บางคนมองออกไปไกลกว่านั้น โดยเลือกบุคคลที่เป็นต้นแบบไว้สำหรับการดำเนินชีวิต ผมโชคดีอย่างมาก มีคุณพ่อเสนาะ พิศนุภูมิ ผู้เป็นบิดาให้ชีวิตผมได้เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ และเป็นบุคคลต้นแบบที่ผมเคารพรักเทิดทูนเหนือสิ่งอื่นใด คำสั่งสอนของท่าน คือสิ่งที่ผมยึดถือปฏิบัติ มีเรื่องราวมากมายที่ผมจะต้องทำ และสร้างไว้ สานต่อเจตนารมย์ของท่าน จนกว่าชีวิตของผมจะละจากโลกใบนี้ไปเช่นกัน

ชีวิตคือการต่อสู้



“ชีวิตคือการต่อสู้” ผมจำได้ว่า พ่อชอบพูดคำนี้ เขียนไว้บนหนังสือบ้าง หลังภาพบ้าง ผมรับรู้เรื่องราวการต่อสู้หลายช่วงชีวิต ผมปรารถนาที่จะเป็นนักต่อสู้ ผมรักเคารพและเทิดทูนการทำงานของพ่อ ผมจดจำวิถีทางต่างๆ ที่พ่อได้เดินทางผ่านมา ชีวิตของผมเป็นเพียงนักเดินทางตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่กำลังแสวงหาการเดินทางของตนเอง ผมไม่รู้หรอกว่า อีกสามปีห้าปีผมจะได้เป็นอะไร ผมจะไปได้ไกลแค่ไหน รู้แต่เพียงว่าวันวานที่ผ่านมา มีเรื่องใดถูกต้อง ทำให้คนรอบข้างชื่นชมและมีความสุข มีเรื่องบางอย่างผิดพลาดที่ทำให้ใครบางคนผิดหวังในตัวเรา จริงซินะ ผมเองเคยเป็นเด็กเรียนดี เก่งระดับไหนหรือครับ ผมจำได้อย่างดีเพราะผมเป็นเด็กเรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่งมาโดยตลอด ตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ป.7 เคยได้รับรางวัลจากผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาทเมื่อตอนอยู่ ป.4 เพราะสอบได้คะแนนถึง 99% พอขึ้นชั้นมัธยม ผลการสอบได้อันดับ 8 ก็เริ่มอ้างว่าตนเองเป็นเด็กชนบท จะไปสู้กับเด็กตลาดได้อย่างไรกัน ครั้นพอได้ขึ้นชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ได้ลำดับที่ 22 เพราะเริ่มเป็นหนุ่ม ติดเพื่อน ติดเล่น  เมื่อได้เลื่อนขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปลายปีผลประกาศออกมา ผมสอบตกกับเพื่อนสองคน จำไม่ได้ว่ามีเพื่อนในชั้นเรียนกี่คน แต่จำได้ว่าอายมาก เสียใจอย่างมาก วันที่มาฟังผลสอบ เดินคอตกกลับบ้านเป็นเวลาสายมากแล้ว เจอคุณแม่ที่นั่งรออยู่ที่บ้าน โดยท่านยังไม่ยอมทานข้าวเช้า คงรอฟังข่าวจากลูกชายที่ช่วงหลังมีพฤติกรรมการเที่ยวบ่อยครั้งมากขึ้น คำแรกที่แม่ถาม "ผลสอบเป็นอย่างไรลูก?" ... ช่างเป็นคำถามที่ตอบยากเย็นเสียนี่กระไร ตอบแม่ไปเบาๆว่า เกือบจะได้ครับแม่. รู้ในตอนนั้นเองว่าแม่เสียใจ น้ำตาคลอแต่คุณแม่ก็บอกลูกชายว่า “มากินข้าวกับแม่นะ”..... ครั้งนี้ผมเชื่อว่าผมก็ทำให้คุณแม่ท่านผิดหวังในตัวผมอย่างที่สุด สำหรับผมในช่วงจังหวะชีวิตตอนนั้น มีความรู้สึกอย่างเดียวว่า ผมจะกลับไปเรียนที่โรงเรียนแห่งเดิมไม่ได้อีกแล้ว เพราะผมรู้สึกอับอายเพื่อนๆ น้องๆบางคนที่ก่อนจบผมได้นำเฟรนด์ชิป สมุดบันทึกที่เขียนบอกเล่าความรู้สึกของเพื่อนๆ ตอนที่กำลังจะอำลาจากกัน เพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือไปทำงาน ผมอยากไปเรียนที่แห่งใหม่ น่าจะเป็นโรงเรียนของจังหวัดชัยนาท แน่ละครับ ค่าใช้จ่ายก็ต้องเกิดขึ้นอีกอย่างมากมาย และเดี๋ยวนี้หน้าบ้านของผมมีถนนลาดยางเกิดขึ้นแล้ว ถนนที่เกิดจากฝีมือของคุณพ่อเสนาะ พิศนุภูมิ ที่ได้มีความเพียร พยายาม ขอลายเซ็นยินยอมจากเจ้าของที่ดินแต่ละแปลงให้สละพื้นที่สำหรับให้ทางราชการทำถนนสาธารณะเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไป จำได้ว่าพ่อต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้ถนนสายนี้ ตั้งแต่สมัยท่านจอมพลถนอม กิตติขจร จนถนนสายนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความชื่นชมของชาวบ้านที่มีโอกาสเดินทางไปจังหวัดชัยนาทโดยรถโดยสารทางบก ไม่ต้องรอไปทางเรือเหมือนเช่นในอดีต ถนนสายนี้ได้กลายเป็นเส้นทางแห่งอนาคตของคนบ้านท่าหาด ต.ธรรมามูล อ.เมือง,อ.มโนรมย์ บ้านฮุ้ง และเส้นทางเชื่อมต่ออีกมากมาย .... ผมอยากไปเรียนในที่แห่งใหม่ ค่าใช้จ่ายต้องเกิดขึ้นมากกว่าเก่า คุณแม่ของผมท่านเป็นคนประหยัด และท่านก็มีเหตุผลที่จะต้องทำเช่นนั้น ด้วยว่าท่านมีลูกสามคน คนโตกำลังเรียนระดับชั้น ปวส.,คนน้องก็กำลังเรียน ท่านจึงไม่สนับสนุนที่จะให้ผมไปเรียนที่แห่งใหม่ เว้นเสียแต่เรียนที่เดิมท่านก็จะสนับสนุน ....ส่วนตัวผม เมื่อเกิดข้อผิดพลาดสำหรับชีวิตการเรียนในครั้งนี้ ก็เริ่มหาวิธีใหม่สำหรับการที่จะใช้ชีวิต เริ่มนึกถึงคำพูดของเพื่อนรักหลังห้อง ที่เคยร้องรำทำเพลงด้วยกัน พร้อมชักชวนว่าน่าจะไปหาประสบการณ์กับวงดนตรี สายัณห์ สัญญา หรือไม่ก็วงสัญญา พรนารายณ์ แต่จังหวะช่วงนี้ ญาติที่เคยอยู่วงดนตรีสัญญา พรนารายณ์ ยังไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเลย หาทางไปทำงานแบบนี้คงยาก  อีกเส้นทางหนึ่งที่ผุดขึ้นมาคือการไปเป็นกระเป๋ารถ บขส.ต้องหาเงิน 500 บาทเป็นค่าประกันสำหรับการทำงาน สมัยนั้นเงิน 500 บาท หายากยิ่งกว่าทองคำ เพราะทองคำบาทละ 400 บาท แล้วเราจะไปหาเงินได้ที่ไหนกันล่ะ ซ้ำเรื่องแบบนี้เมื่อคุณแม่ได้ทราบข่าว กลับทำให้ท่านไม่สบายใจ ต้องไปขอร้องลุงปลิว ผู้ใหญ่ใจดีข้างบ้าน ให้ช่วยเจรจากับลูกชายว่าอย่าได้คิดผิดเพี้ยนไปกว่านี้....และแล้ว ผมก็ได้สติในการทบทวนทุกเรื่องราว ที่เข้ามากระทบจิตใจให้วูบวาบ อยากเป็นนั่น เป็นนี่ อยากไปทำงาน อยากไปแสวงหาโชคแบบไปตายเอาดาบหน้า ตัดสินใจที่จะกลับเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งเดิมอีกครั้งหนึ่ง พร้อมตั้งปณิธานในตนเองว่า จะเริ่มต้นเป็นคนดี คนขยัน ตั้งใจเรียน เพื่อเรียกร้องศักดิ์ศรีของเด็กเรียนดีกลับคืนมาให้จงได้ ....เมื่อเปิดเทอม ผมเจอเพื่อนรักที่สมัครใจสอบตกในปีที่ผ่านมาอีกครั้ง คราวนี้ชั่วโมงโปรดเราเข้าเรียนปกติ ชั่วโมงที่มีวิชาที่เราไม่ชอบ เพื่อนรักของผมในช่วงเวลานั้นก็มาชวนผมเข้าป่าเหมือนในอดีตปีที่ผ่านมา ผมต้องตัดสินใจบอกกับเพื่อนไปว่า “วันนี้พิชิตขอเปลี่ยนแปลง จะขอเป็นคนดี ไม่อยากทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจอีก ขอตั้งใจเรียนนะเพื่อน เราจะไปด้วยกันไหม ถ้าไปเราจะช่วยกัน แต่ถ้าเพื่อนไม่อยากเรียน เราขออนุญาตเป็นคนที่ตั้งใจนะเพื่อน” ....จากวันนั้นและวันต่อๆมา ผมมีความมานะในการเรียน ทำการบ้านส่งอาจารย์อย่างสม่ำเสมอ จนถูกแซวว่าลอกการบ้านจากของเดิมมาส่ง หลายคนกังขาในความรู้ที่เรามี ความสามารถที่ทำการบ้านได้ครบ และถูกต้องไม่ติดขัด จนถึงเวลาที่ต้องพิสูจน์ ...ใช่แล้วครับ อาจารย์ประจำวิชา สอนวิชาพีชคณิต ได้นำนักเรียนผู้หญิงที่เก่งที่สุด กับผม มาหันหลังให้กับกระดานดำ เพื่ออาจารย์ได้เขียนโจทย์ที่เหมือนกันทั้งสองด้าน เมื่อพร้อมแล้วจึงให้หันกลับไปทำโจทย์ข้อนั้น ท่ามกลางเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่พากันเชียร์ว่าใครจะเสร็จก่อน และถูกต้องกว่า ไม่ต้องเดาครับ งานนี้พิชิต พิศนุภูมิ ทำโจทย์ข้อนั้นได้เสร็จก่อนและถูกต้อง ทำให้ได้รับการยอมรับจากคุณครูพร้อมด้วยเพื่อน (รุ่นน้อง) ที่ได้เรียนด้วยกันในปีนั้น จากการที่ผมได้เปลี่ยนความคิด ชีวิตของผมก็เปลี่ยนทันที ปีนั้นผมกลับมาสอบได้ที่หนึ่งอีกครั้ง ผมได้มีโอกาสสร้างผลงานด้านภาษา โดยเป็นตัวแทนการอ่านบทกลอนทำนองเสนาะ โคลงโลกนิติ เป็นตัวแทนของจังหวัดชัยนาท ได้ไปแข่งขันที่จังหวัดอยุธยา ได้รับรางวัลชมเชยกลับมา เมื่อจบการศึกษาเรียบร้อยผมได้มีโอกาสสอบเข้าเป็นนักเรียนจ่าสื่อสารทหารเรือในปี 2520 เริ่มสร้างความภาคภูมิใจให้กับคุณพ่อและคุณแม่ที่ลูกชายเป็นคนดีขึ้นมาได้



ผมทุ่มเทการทำงานในฐานะการเป็นตัวแทนที่ดีคนหนึ่งมาครบสองปีเต็ม จนมีโอกาสได้เข้าสู่ปีแห่งการเป็นพรีซุป ต้องสร้างผลงาน พร้อมสร้างทีมงานควบคู่ไปด้วยกัน ผมเคยผิดพลาดมา ในครั้งแรกของการเข้ามาเป็นตัวแทนในปี 2531 การกลับเข้ามาใหม่ในครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ออกรหัสเมื่อ 31 มกราคม 2534 ผมมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะต้องสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นให้ได้ มีคนหลายคนเฝ้ามองผมอยู่ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด คุณพ่อและคุณแม่อันเป็นที่รักเคารพของลูก กำลังรอคอยชื่นชมกับความสำเร็จของลูก ผมทำงานอย่างหนักที่จะไปพบใครก็ได้ ทั้งที่รู้จัก และไม่รู้จัก จากการได้รับคำแนะนำ หรือไม่มีใครจะแนะนำ ผมพร้อมที่จะเผชิญได้ทุกเมื่อ ทุกนาที และทุกทุกวินาที คุณพ่อผมบอกไว้ “ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง” ผมมีคุณพ่อเป็นยาชูกำลังในยามที่ผมรู้สึกท้อ 



       ในปี 2536 เป็นปีที่ผมมีภารกิจมากมาย การหาลูกค้าใหม่ การดูแลบริการลูกค้าเก่า การสอนตัวแทนที่เริ่มเข้ามาเรียนรู้งานประกันชีวิต ซึ่งเป็นงานใหม่ในสายตาของพวกเขาหรือเธอ เขายังไม่รู้อะไรทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นแบบประกัน วิธีการคิดเบี้ย การเริ่มต้นการขาย การสรุปปิดการขาย ทุกอย่างเราต้องทำหน้าที่เป็นโค้ชให้กับเขา      ด้วยแนวทางของคุณธารินทร์ที่บอกว่า ผู้ที่เป็นพรีซุปต้องรู้จักการดูแลเลี้ยงดูลูกของตนเองให้เป็น “โตแล้วต้องไปแตก แตกแล้วต้องไปโต” ไม่ใช่ “โตแล้วต้องไปแตก แตกแล้วต้องไปตาย..”แบบหลังนี้ไม่เอา ผมต้องสร้างทีม สร้างคน สร้างผลงาน แต่ผมก็มีห่วงมากมายเหลือเกินที่ต้องดูแล ห่วงในเรื่องของลูกที่กำลังเติบโตและเรียนหนังสือ ห่วงบุพการีที่ท่านอยู่ด้วยกันสองคนตายายในชนบท นั่นหมายถึงกิจประจำที่เคยทำ ช่วงเทศกาลปีใหม่ สงกรานต์พวกเราจะไม่ลืมประเพณีอันดีงามนี้ ยังคงปฏิบัติตนเช่นเดิมดังที่เคยยึดถือมาอย่างยาวนาน สงกรานต์ปีนี้ ได้ไปกราบเท้าขอพรคุณพ่อเสนาะ คุณแม่สวาท พิศนุภูมิ เช่นเดิม คำหนึ่งที่คุณพ่อท่านเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราได้มารดน้ำดำหัวผู้ใหญ่แบบนี้ทุกปี ไม่รู้ว่า ปีหน้าจะได้มีโอกาสกันอีกไหม?” ผมเองรู้สึกจุกขึ้นมาที่คอหอย เพราะหันมองดูท่านทั้งสอง วัยก็ล่วงโรยไปตามลำดับ .... เมื่อผ่านช่วงเทศกาลสำคัญ งานของเราที่รออยู่ข้างหน้า ทำให้ต้องจัดลำดับงานที่มีความสำคัญกว่าต้องทำก่อน งานที่รอคอยได้ให้ทยอยทำตามลำดับ ผมยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ และมั่นคง พูด คุย ลุย ขาย ชวนคน เข้าประชุมทุกๆสโมสร ทุกกิจกรรมของส่วนรวม เราพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสีสัน แบ่งปันความรู้กับรุ่นน้องเสมอๆ 


วันหนึ่งข่าวจากบ้านนอกก็มาถึง เมื่อญาติข้างบ้านได้โทร.มาบอกว่าคุณพ่อล้มลง ต้องเข้าโรงพยาบาล ผมต้องรีบขับรถกลับไปดูคุณพ่อที่เข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจังหวัด ภาพที่ได้เห็นที่โรงพยาบาล คุณแม่นั่งเฝ้าดูคุณพ่ออยู่ด้วยความห่วงใย ผมได้อยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อและคุณแม่ และจัดการเรื่องต่างๆที่โรงพยาบาล ด้วยการที่ผมยังคงเป็นข้าราชการบำนาญ จึงมีสิทธิ์ในการเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์  คุณหมอให้รอดูผลการรักษา ซึ่งพวกเราต้องรอคอย ทำให้ผมมีเวลาที่จะกลับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำการประชุมกับทางสำนักงานตามปกติ และหลังการประชุมเดินทางกลับมาดูแลคุณพ่อที่โรงพยาบาลพร้อมได้รับกลับบ้านเพื่อพักรักษาตัวต่อไป
ภาระงานที่มีอยู่เต็มทั้งสองบ่าขณะนี้ มีทั้งความห่วงหน้า พะวงหลัง ทุกอย่างพรูพรั่งมาพร้อมๆกัน การเดินทางจึงเกิดขึ้นตลอดเวลา เพียงสองสามวันต่อมา ญาติข้างบ้านก็โทร.มาบอกกับพี่ชายผมอีกว่า คุณพ่อล้มลงอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้ลุกไปไหนไม่ได้เลย พวกเราต้องรีบกลับมารับพ่อและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดในจังหวัด ถามว่าทำไมเราไม่พาคุณพ่อเข้าโรงพยาบาลจังหวัด ที่เป็นของรัฐ เพราะเราได้รับคำตอบว่าห้องพิเศษเต็ม ยังหาคิวว่างไม่ได้  วันเวลาเหล่านั้น พวกเราอยากให้คุณพ่อของเราหายจากการเจ็บป่วย ซึ่งในชีวิตของพวกเราไม่เคยเห็นท่านเจ็บป่วยหนักขนาดนี้ ผมเชื่อว่าผมมีเงินพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลของคุณพ่อได้ ผมจึงเลือกที่จะเข้าโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน  คุณพ่อถูกพาเข้าไปเช็คร่างกาย เช็คระบบสมอง เกรงจะได้รับความกระทบกระเทือน แต่ไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียว เป็นครั้งที่สอง ที่สาม จนคุณพ่อเรียกหาผมให้ไปอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา ผมเห็นแววตาของคุณพ่อที่เหนื่อยล้า พร้อมด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากสิ่งต่างๆ ผมจับมือคุณพ่อตลอดเวลา พร้อมให้กำลังใจท่าน “อย่ากังวลครับพ่อ ลูกชายคนนี้อยู่ใกล้ๆพ่อแล้วครับ”......ผมถามพยาบาลว่า ทำไมเราไม่ตรวจเช็คให้ผ่านในครั้งเดียว แสงรังสีที่กระทบสมองของคนเราจะเกิดผลข้างเคียงหรือไม่? ทำไมต้องทำซ้ำซ้อน....เหตุผลคือยังไม่มีความชัดเจนจากผลที่ได้ เจ้าหน้าที่บอกเราอย่างนั้น.... คุณสามารถเบิกค่ารักษาคืนจากรัฐใช่หรือไม่....ผมตอบว่าใช่  เขาบอกว่าไม่เป็นไร เราจะทำรายการให้คุณไปเบิกคืนจากหลวงได้นะ  จนเราเกิดคำถามว่า การทำเอกสารประกอบการเบิกจ่ายแต่ละครั้งต้องทิ้งช่วงเวลาการทำเบิกไม่ใช่หรือถ้ามีการเบิกเกินงบที่กำหนดไว้ต่อครั้ง ถ้าหากคุณพ่อผมยังอยู่ เราคงทำเช่นนั้นได้ แต่ถ้าท่านเป็นอะไรไปล่ะ...เจ้าหน้าที่ไม่ตอบ.... อย่างไรก็ตาม ผมก็พร้อมที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้น ผมขอทำหน้าที่เป็นลูกที่ดีของท่าน ที่จะดูแลปรนนิบัติคุณพ่อของเราให้ดีที่สุด เพื่อให้ท่านเป็นปกติให้ได้....เราจ้างพยาบาลพิเศษมาเฝ้าพ่อ ตอนเรามีเหตุจำเป็นต้องไปประชุม นัดหมายลูกค้าไว้ล่วงหน้า  แล้วเราก็กลับมาดูแลคุณพ่อ นอนอยู่ใกล้ๆท่าน ในแต่ละวันที่ท่านอยู่โรงพยาบาล จากวัน เป็นสัปดาห์ การรักษาไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย ตอนเช้าคุณหมอมาเยี่ยมถามว่า เป็นไงบ้าง นอนสบายดีหรือเปล่า ปวดตรงไหน ฯลฯ อ่านผลแล้วก็สั่งพยาบาลเรื่องยาที่ต้องใช้ แล้วก็เดินจากไปเพื่อดูคนไข้ห้องอื่นๆ คุณพ่อท่านอยู่ห้องพิเศษ มีพยาบาลดูแลและพวกเราผลัดเปลี่ยนกันมาคอยดูช่วยกัน บางครั้งลูกน้องซึ่งเป็นทีมงานใหม่ของเราเดินทางมาให้กำลังใจที่โรงพยาบาล แต่คุณพ่อท่านก็พูดคุยอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะถูกเจาะคอให้อาหารทางสายยาง จนเพื่อนรุ่นน้องของผมทราบข่าวจากการมาเยี่ยม แล้วติดต่อกับภรรยาที่รู้จักกับทางโรงพยาบาลในกรุงเทพฯให้ทำเรื่องย้ายการรักษามาที่โรงพยาบาลวชิระ ซึ่งคุณหมอที่รับเรื่องการย้ายมาของคนไข้รายนี้ถึงกับเอ่ยปากว่า ทำไมต้องทำการเจาะคอ แล้วยังปล่อยให้ติดเชื้อขึ้นมาอีก ...สำหรับความรู้สึกของผมต่อการรักษาจากโรคพยาบาลเอกชนที่คิดว่าดีที่สุดของจังหวัด ที่นอกจากจะมีราคาแพง และไร้ซึ่งประสิทธิภาพแล้ว แต่สถานการณ์ในขณะนั้น ไม่มีตัวเลือกให้เลือกได้มากกว่านี้ อยู่ในสภาวะจำยอม และต้องจำทน เมื่อเข้ารักษาในโรงพยาบาลวชิระ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ดีของรัฐอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ได้รับการรักษาและดูแลอย่างดี แต่ก็มาช้าไปอย่างมาก ผมยังคงทำหน้าที่เช่นเดิม อยู่ดูแลคุณพ่อที่โรงพยาบาล ช่วงคุณพ่ออยู่ในระหว่างการพักผ่อน แวะไปพบลูกค้า บริการลูกค้าเก่าที่มีเรื่องการเคลมต่างๆ หรือการเก็บเบี้ยประกันปีต่ออายุ ดูแลบริการตามเนื้องานที่เกิดขึ้น ญาติ พี่น้อง ผลัดเปลี่ยนกันมาเยี่ยมดู ให้กำลังใจ ช่วยเหลือในเรื่องที่สมควร จนคืนวันที่ 12 ผมต้องกลับจากโรงพยาบาล คุณพ่อต้องอยู่รักษาในห้องรวม (ห้องพิเศษไม่มีว่างเช่นเดิม) กลับมาพักผ่อนที่พัก โดยทุกครั้งก่อนจะกลับจะพูดคุยกับพยาบาลที่เข้าเวรเสมอๆ ว่า หากมีเรื่องฉุกเฉิน ให้ติดต่อผมได้ที่ 152 เรียก 185787 เป็นหมายเลขโฟนลิ้งค์ที่เป็นเครื่องมือสื่อสารในยุคนั้นที่ทำให้คนติดต่อกันได้แบบการสื่อสารทางเดียว  เช้าวันที่ 13 ตุลาคม 2536 เวลา 05.30 น.เป็นเวลาที่ผมจดจำได้ดีและเจ็บปวดที่สุด เสียงโฟนลิ้งค์ดังขึ้น และปรากฏข้อความว่า “นายเสนาะ พิศนุภูมิ ตายแล้ว จาก ร.พ.วชิระ” ...........ผมโยนโฟนลิ้งค์ออกจากมือ ผมรับไม่ได้ ผมช๊อค ผม.......ผมทำอะไรไม่ถูก......พ่อผม...ทำไม....ทำไมท่านทิ้งผมไปตอนนี้ ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้ท่านได้ชื่นชมกับผมเลย.....พ่อครับ....ผมรักพ่อ.......”



ผมรู้ครับว่า การสูญเสียต้องเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นวันใดวันหนึ่ง แล้วผมจะทำยังไงดี ผมเริ่มทบทวน ผมเริ่มคิดลำดับความสำคัญก่อนหลังว่า ต้องทำอะไรบ้าง หนึ่ง วันนี้เป็นวันที่ต้องมีการประชุมสโมสรสตาร์ 24 ของเครือชุมทอง มีลูกน้องของผมคนหนึ่งได้รับถ้วยรางวัล ตามหลักปฏิบัติผมต้องไปอยู่ในงานประชุม ร่วมแสดงความยินดี พร้อมกับจับมือแสดงความชื่นชม ผมต้องไปโรงพยาบาลเพื่อจัดการรับศพของคุณพ่อกลับบ้านของเรา จังหวัดชัยนาทเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ผมต้องไปแจ้งมรณกรรมในสำนักงานเขตพื้นที่ เพื่อลงรายการในใบมรณกรรม ผมต้องเข้าสำนักงาน เอ.ไอ.เอ.จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อตรวจดูว่ามีบันทึกต่างๆของลูกค้าที่ส่งงานเข้าไปหรือไม่ และมีเรื่องอะไรที่สำคัญที่จะต้องรับรู้ รับปฏิบัติ เพราะเราไม่มีโทรศัพท์ใช้ เรามีแค่โฟนลิ้งค์ ที่บ้านชัยนาทเราก็ไม่มีเครื่องมือสื่อสาร .....เรื่องอะไรสำคัญบ้าง......เข้าออฟฟิศ จัดเก็บเอกสารทุกอย่างที่จำเป็น ฝากงานเลขาฯให้หาคนถ่ายรูปลูกน้องของเราที่ไปงานรับรางวัลสตาร์ 24 เด็กๆเลขาถามผมว่า “พี่ตุ๋มจะไปไหน” ผมไม่ตอบอะไรมาก บอกแค่ว่า “มีธุระ”  แล้วก็รีบออกไปจากสำนักงานอย่างรวดเร็ว ได้พูดคุยกับคุณวาสนาว่า “แล้วเราจะไม่บอกใครเลยหรือนี่” ก็เพียงแต่ตอบว่า “วันนี้ทุกคนมีงานประชุม มีภารกิจที่ต้องดูแลตัวแทน อย่ารบกวนใครจะดีกว่า เพราะเราต้องรับศพคุณพ่อไปจังหวัดชัยนาท ระยะทางไกลนัก อย่าทำให้ใครมาลำบากกับเราจะดีกว่า”.....ผมมาถึงโรงพยาบาลตรงไปยังห้องนิรมัย ขอให้เจ้าหน้าที่ดูศพพ่อ กอดพ่อ จูบพ่ออีกครั้งหนึ่ง กราบแทบเท้าพ่ออีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย บอกกับพ่อว่า “ขอให้พ่ออยู่เป็นกำลังใจให้ลูกได้ต่อสู้กับชีวิต จนบรรลุความสำเร็จได้ดังฝันด้วยเถิด” ....รีบไปแจ้งการมรณกรรมที่สำนักงานเขต พาพ่อขึ้นรถบรรทุกศพ เดินทางขับรถยนต์นำรถของโรงพยาบาลวชิระ มุ่งหน้าสู่จังหวัดชัยนาท กว่าจะถึงบ้านท่าหาดก็ใกล้เย็นมากแล้ว ต้องผ่านบ้านก่อนไปวัดพิกุลงาม (วัดท่าหาด) จึงบอกให้รถล่วงหน้าไปก่อน แวะบอกคุณแม่สวาท ทันทีที่คุณแม่เห็น แม่เอ่ยขึ้นมาว่า “ตาเหนาะเป็นอย่างไรบ้าง”  ก็พยายามฝืนพูดกับแม่ไปว่า “แม่แต่งตัวนะครับ เดี๋ยวเราจะไปวัดท่าหาดกัน”  แม่พูดอีกว่า “เมื่อกี้เห็นรถโรงพยาบาล ยังสังหรณ์ใจว่าพ่อเอ็งเป็นอะไรไปหรือเปล่า”  แม่ร้องไห้ แม่เสียใจ แต่แม่ก็ต้องทำใจ เพราะรู้ดีว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาหนีไม่พ้นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย  พวกเราพากันมาที่วัดท่าหาด ทางวัดจัดให้คนมาดูแลตั้งศพบนศาลา การสวดพระอภิธรรมคืนแรกเกิดขึ้น และท่านผู้จัดการของผม คุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ พร้อมด้วยภรรยา และทีมงานในเครือชุมทอง 24 ยู ก็พากันมาแสดงความเสียใจในค่ำคืนแรก แม้ว่าผมไม่ได้เอ่ยปากบอกใครให้ทราบเลยก็ตาม นั่นเป็นกำลังใจที่แสนพิเศษ ทุกคนรู้ว่า ผมยังคงมีภารกิจที่ต้องทำอีกมากมาย เบี้ยประกันของผมในขณะนั้น ยังต้องทำเพิ่มอีกประมาณ 700,000 บาท (เจ็ดแสนบาท)



ผมอยู่ในงานศพคุณพ่อทุกวัน ทุกคืน ตลอดเวลา ผมต้อนรับแขกเหรื่อ ญาติ พี่น้อง คนรักใคร่นับถือคุณพ่อจากทุกสารทิศ ช่วงบ่าย เย็น ค่ำมืดของทุกๆคืน คือเวลาที่ต้องต้อนรับแขกเหรื่อ ยามเช้า สาย คือเวลาทบทวนงานที่ต้องรอไปทำ เช่นงานเมโมของลูกค้าที่เกิดขึ้นจากการขาย งานค้างที่รอติดตาม ผมใช้เวลาออกไปหาโทรศัพท์ โทรแจ้งสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ บอกให้ฝ่ายพิจารณารับรู้ว่า ผมยังไม่สะดวกต่อการเข้าไปดำเนินการในรายละเอียดต่าง ๆ เพราะต้องจัดการงานศพของคุณพ่อให้แล้วเสร็จ ผมขอทำหน้าที่ของลูกที่ดีต่อบุพการีที่พึงปฏิบัติเสียก่อน เพื่อน ๆ พี่น้องในเอไอเอ พากันมาช่วยงานให้กำลังใจ และขอให้เราเข้มแข็ง พร้อมที่จะต่อสู้ เพื่อสร้างผลงานเบี้ยประกันให้ครบตามเป้าหมายที่บริษัทฯ และหน่วยงานกำหนดมาตรฐานไว้  ยามว่าง...กลางคืน ผมจะอยู่กับคุณพ่อของผม คุณพ่อเสนาะ พิศนุภูมิ ผมจะนั่งอยู่หน้าโลง มองรูปของพ่อ และเฝ้าบอกกับคุณพ่อตลอดเวลาว่า “พ่อครับ...ผมคือนักสู้...พ่อครับ ....ผมจะต้องทำให้ได้ พ่อรอดูความสำเร็จของผมนะครับ พ่อครับ...พ่ออย่าเพิ่งไปไหนนะครับ อยู่เป็นกำลังใจให้กับลูกคนนี้ก่อนนะพ่อ.......” ผมหยิบหนังสือที่พ่อเคยเขียนปรัชญาต่างๆไว้มานั่งดู มีทั้งบทกลอน โคลงโลกนิติ บทความดี ๆ ผมนั่งอ่านทบทวนดู คิดถึงครั้งเยาว์วัย พ่อเพียรสอน และสั่งให้ผมมีมานะ ตั้งใจเรียน ศึกษาหาความรู้ เพื่อหาโอกาสที่ดีกว่าที่จะพึงหาได้ในสังคม  ทำให้ผมเกิดความคิดโดยเขียนกลอนไว้บทหนึ่งดังนี้



“ปรัชญาแห่งชีวิตลิขิตเขียน      
                                          พ่อพากเพียรจดไว้ได้สั่งสอน
แม้พ่อลับดับไปให้อาวรณ์          
                                          แต่บทกลอนกวียังมีมนต์
ลูกจักจำนำไปใช้ประโยชน์         
                                         ให้รุ่งโรจน์กับชีวิตจิตกุศล
รำลึกไว้พ่ออยู่ใกล้แนบใจตน      
                                          จะเป็นคนขายประกันที่ฝันไกล
  ฝันจะให้สิ่งที่ดีกับมวลมิตร          
                                          เพราะชีวิตมีค่ากว่าสิ่งไหน
เมื่อละจากพรากบ้านสู่ฐานไกล   
                                          ยังทิ้งไว้หลักทรัพย์นับอนันต์
ฝันจะให้ความรู้สู่พวกพ้อง           
                                          ความถูกต้องจริงใจได้สุขสันต์
ประสบความสำเร็จนับหมื่นพัน    
                                          จะเป็นวันชื่นชมสมฤดี”

 
พวกเราพี่น้องพากันตกลงกันว่า อย่าเพิ่งได้เร่งฌาปนกิจศพคุณพ่อตอนนี้เลย ควรทำการฝังไว้ก่อนสักระยะหนึ่งจะดีกว่า เพื่อรอให้พี่น้องบางคนที่ยังไม่สะดวกในตอนนี้จะได้มีเวลาเตรียมตัว ให้ทุกอย่างพร้อมๆก่อน ซึ่งผมเองเป็นน้องชายคนหนึ่ง ท่ามกลางพี่น้องที่มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสิบคน มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเกิดความรู้สึกว่า พ่อของผมยังไม่ได้ไปไหน ท่านยังอยู่กับเรา แต่ท่านอยู่ที่วัด คิดถึงเมื่อไหร่ก็มาหาได้ทันที.....เมื่อผ่านพิธีการเก็บศพโดยการฝังไว้อย่างถูกต้องตามประเพณีแล้ว ดูแลคุณแม่ท่านให้มีกำลังแรงใจเข้มแข็งขึ้นมา แล้วจึงเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อสะสางงานที่คั่งค้าง พร้อมเข้าสู่ระบบปฏิบัติการล่าฝัน เพื่อฟันฝ่าคว้าความสำเร็จให้เป็นของตนเองให้ได้ ผมแต่งตัวไปทำงานด้วยการผูกไทด์เช่นเดิม ไม่ได้แต่งกายแบบการไว้ทุกข์ ด้วยมีเหตุผลว่า ไม่ต้องการตอบคำถามใครต่อใครว่า ทำไมแต่งตัวแบบนี้ ใครเป็นอะไรหรือ? เพราะงานที่ผมต้องทำ เป็นงานที่ต้องไปพบผู้คนมากมายในหลากหลายสถานที่ เป็นงานที่ต้องพูดคุยในเรื่องของพวกเขา ความสุขของครอบครัวเขา เพื่อให้พวกเขาบรรลุวัตถุประสงค์ในการวางแผนด้านการเงิน ด้านสวัสดิการ ด้านทุนการศึกษา หรือการสร้างพินัยกรรมเงินสดให้กับครอบครัว ผมจัดสรรเวลาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง ท่านผู้จัดการคุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ เคยบอกผมเสมอๆว่า “เวลายิ่งยาวยิ่งยาก ยิ่งสั้นยิ่งง่าย”จริงซินะ...เรามีเวลาเหลืออีกเพียงไม่กี่วัน ต้องสร้างเบี้ยประกันอีกประมาณเจ็ดแสนบาท ถ้าเราทำไม่ได้ล่ะ ทำไงดี ซื้อประกันตัวเองได้ไหม....แล้วเอาเงินที่ไหนมาซื้อล่ะ.....เอาน่า....ทาง...เริ่มต้นจากที่ที่ไม่มีทาง เราก็เดินทางมาได้ไกลถึงขนาดนี้ อีกแค่นิดเดียว เราต้องทำได้ซินะ  เราเชื่อว่าเราทำได้ เรามีพลังนี่นา...
ทุกท่านที่รักครับ ผมใช้ชีวิตในการพบลูกค้า รายเล็ก รายใหญ่ รายขนาดกลาง ทุกแห่งทุกที่ที่ผมไปพบ บางครั้ง บางคนก็ตอบรับและเข้าร่วมโครงการ มอบความไว้วางใจให้กับผมในทันที บางท่าน บางแห่งก็ให้ผมรอคอย และติดตามเพื่อสร้างเสริมความมั่นใจให้กับพวกเขามากขึ้น เพิ่มความกระจ่าง รอคอยความพร้อมของพวกเขา หลากหลายเหตุผล และแล้ว....ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้กลุ่มลูกค้ากลุ่มใหญ่ของผมกลุ่มหนึ่งได้มอบความไว้วางใจให้กับผม โดยวันหนึ่งพี่จู๊ด คุณวรพงษ์ เทียนชัย ได้แจ้งว่าท่านประธานบริษัท คุณวัฒนา รอดบุญ ได้อนุมัติการทำประกันให้กับคณะกรรมการทั้งหมด ทำให้ผมได้รับเบี้ยประกันมาทั้งหมด 600,000 บาท เป็นเบี้ยประกันที่มีความหมายกับชีวิตการเป็นตัวแทนประกันชีวิตของผม ท่านประธานบริษัท คุณวัฒนา รอดบุญ (ผมขออนุญาตเอ่ยถึงท่านในที่นี้ ท่านเป็นผู้ให้โอกาสสำคัญสำหรับชีวิตการทำงานของผม ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อของการเดินทางไปข้างหน้า) เบี้ยประกันส่วนนี้ทำให้ผมเห็นแสงสว่างบนปลายอุโมงค์ ผมรีบเร่งหาเบี้ยประกันส่วนต่างๆที่ขาดหายไป จนครบทุกบาท ทำให้ผมนึกถึงคำคำหนึ่งที่ผู้จัดการเคยบอกไว้ว่า “ทำทุกอย่างด้วยตนเองให้ดีที่สุด แล้วพระเจ้าจะทำส่วนที่เหลือ”.....ผมได้สร้างทีมงานขึ้นมา 14 ตัวแทน ผ่านการตรวจสอบคุณวุฒิของบริษัททุกรายการ ทำให้ผมได้รับสิทธิ์การเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหารหน่วย ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2536 ผมรีบกลับไปกราบศพคุณพ่อเสนาะ พิศนุภูมิ ที่วัดท่าหาด จังหวัดชัยนาท ผมต้องการมาบอกกับคุณพ่อว่า “พ่อครับ ... ผมทำได้แล้ว พ่อเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า ลูกพ่อทำได้...”



เพื่อนๆ พี่น้อง ที่รักทุกท่านครับ ถ้าหากวันนั้น วันที่ผมสอบตก แล้วผมยอมรับกับเส้นทางที่ผมบังเอิญผิดพลาดไป ไม่ยอมหวนกลับมาเรียนในสถานที่เดิม ด้วยเหตุและปัจจัยอื่นๆ ที่มีข้อกำหนด ผมคงไม่ได้มีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นในเวลาต่อมา ...และถ้าวันนั้น วันที่ผมล้มเหลวสำหรับการเป็นตัวแทนในช่วงเริ่มต้น ทำอะไรไม่เป็น เดินหาช่องทางก็ไม่ถูก มองหาโอกาสเติบโตก็ไม่ได้ ถ้าหากผมล้มเลิกความคิดในการก้าวเดินต่อบนเส้นทางของนักขายประกันชีวิต ผมจะพบความสำเร็จได้หรือ? และถ้าช่วงวิกฤติของชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดความสูญเสียของบุคคลสำคัญอันเป็นสุดที่รักและเคารพของผม ถ้าผมเก็บอมความทุกข์และเศร้าโศกไว้ในจิตใจ ผมจะมีเรี่ยวแรงก้าวต่อหรือไม่? ผมจะทักทอความฝันที่ผมหวังไว้ให้เกิดเป็นความจริงขึ้นมาได้หรือ?.....ทุกชีวิต ทุกผู้คน ล้วนแล้วแต่มีความหมาย ทุกคนมีศักยภาพอยู่ในตนเองด้วยกันอย่างมากมายมหาศาล จงดึงพลังศักยภาพของท่านออกมาใช้ให้เต็มที่เถิดครับ....




เส้นทาง...สร้างได้ เชิญแวะชมสำนักงานของพวกเราได้ที่

ติดตามงานเขียนแรงจูงใจจากเรื่องจริง
ตอนต่อไป